พัฒนาการของสังคม
หน้า 1 จาก 1
พัฒนาการของสังคม
สังคายนากฎหมายตราสามดวง ปรับปรุงระบบกฎหมายไทยทั้งระบบ??
"จุดประกาย"
วันเสาร์สุดท้ายปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดในรายการวิทยุ "นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน" เป็นรายการพูดคนเดียวเกือบ ๑ ชั่วโมงเต็ม ตอนหนึ่งนายกฯ ว่า
"ปี ๒๕๔๗ นี้เป็นปีที่ครบรอบ ๒๐๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้มีการชำระสะสางกฎหมายเก่าและจัดทำขึ้นเป็นกฎหมายตราสามดวงใหม่ ที่ใช้บังคับเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบประมวลกฎหมายเต็มรูปแบบ
เพราะฉะนั้นในโอกาสครบรอบ ๒๐๐ ปี รัฐบาลก็จะถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองวาระนี้ด้วยการปรับปรุงระบบกฎหมายไทยทั้งระบบใหม่ให้ทันสมัยและเกิดความยุติธรรมมากที่สุดสำหรับประชาชน เพราะว่ากฎหมายหลายฉบับไม่เป็นธรรม กฎหมายหลายฉบับเป็นอุปสรรคต่อคนที่อยู่ฐานล่างของสังคมที่จะเติบโต เพราะฉะนั้นกฎหมายก็จะกลับไปให้อำนาจประชาชนในการจะแสวงหาศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้อย่างเต็มที่ อันนี้ก็จะต้องไปแก้ไข"
นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นต่อไปว่าจะมีการตั้งกรรมการขึ้นมา "ผมจะเป็นประธาน ให้รองฯ วิษณุ (เครืองาม) รัฐมนตรีโภคิน (พลกุล) รัฐมนตรีพงศ์เทพ (เทพกาญจนา) เข้ามาเป็นรองประธาน แล้วก็จะเชิญส่วนราชการต่างๆ ที่สำคัญของภาครัฐ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด และก็จะเชิญฝ่ายศาลมาช่วยกัน ช่วยระดมและรวมทั้งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และจากสภาทนายความ ตลอดจนท่านผู้รู้กฎหมายทั้งหลายมาช่วยกัน เพื่อระดมการแก้ไขกฎหมายทั้งหมดของประเทศ
"สังคายนาให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดกับประชาชน วันนี้ก็จะช่วยกันทำ ก็ถือโอกาสว่าฉลองเฉลิมครบรอบ ๒๐๐ ปี ของกฎหมายตราสามดวง มาทำกฎหมายไทยให้เป็นธรรม" "
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังอธิบายว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่มีการบริหารเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมนี้เป็นอุปสรรคต่อคนอ่อนแอมาก เพราะฉะนั้นกฎหมายจะต้องไม่ไปข้างใดข้างหนึ่ง สังคมนิยมแท้ก็ไม่ใช่เป็นคำตอบ ทุนนิยมแท้ก็ไม่ใช่เป็นคำตอบ แต่เลือกเอาสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย เหมาะสมกับสภาวการณ์และการพัฒนาของประเทศ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่า
"อันนี้คือที่มาที่จะสังคายนากฎหมายครั้งยิ่งใหญ่" นายกฯ ทักษิณทิ้งท้ายก่อนจบรายการวิทยุ
คุณค่าต่อรัฐและสังคมไทย
ข้อสังเกตที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งหาญจะจัดสังคายนาชำระกฎหมายตราสามดวงประการหนึ่งก็คือ ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น ท่านได้สังคายนาทั้งในส่วนของธรรมจักรหรือศาสนจักรไปพร้อมๆ กับการสังคายนาในฝ่ายอาณาจักร ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ว่า การชำระกฎหมายนั้น ต่อเนื่องมาจากการสังคายนาพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ด้วยเหตุดังนี้รัฐบาลจึงน่าจะรักษาแบบจารีตประเพณีอันดีงามนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะวงการศาสนา โดยเฉพาะในคณะสงฆ์ไทยเราก็มีอะไรที่กะพร่องกะแพร่งออกมาอยู่เสมอ อันเสมือนเกิดความอ่อนล้าในศาสนจักร ที่จะมาช่วยอุดหนุนเกื้อกูลหนุนเนื่องให้อาณาจักรเดินไปในทางที่ยุติธรรมต่อสังคมและประเทศชาติมากกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งนี้เพราะกฎหมายไม่ได้เป็นสากลหรือความถูกต้องตลอดกาล จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันบ้าง แม้ว่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดในการศึกษาลักษณะรัฐดั้งเดิมของไทยที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน ด้วยการรวบรวมกฎหมายโบราณและพระราชกำหนดเก่า-ใหม่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วก็ตาม อย่างที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มองว่า
"กฎหมายตราสามดวงและกฎหมายต่างๆ เหล่านั้น บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสถาบันการปกครองต่างๆ บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ตลอดจนสะท้อนปัญหาบางประการซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การปกครองแบบดั้งเดิม
ประการสำคัญต้องตระหนักด้วยว่าการใช้กฎหมายตราสามดวงเพียงชุดเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะขาดความต่อเนื่อง เพราะหลายช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏว่ากฎหมายนี้ถูกนำไปใช้ ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่ากฎระเบียบต่างๆ ที่ตราไว้ได้รับการปฏิบัติมากน้อยเพียงใด"
แต่ก็อย่าลืมว่ากฎหมายตราสามดวงนี้ได้สะท้อนความคิด ความเชื่อ ที่ปรากฏในสังคมไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวาล ศาสนา ไสยศาสตร์ ผีสางนางไม้ ตลอดจนประเพณีพิธีกรรมของผู้คนในสังคม ที่มีการเคลื่อนไหวไปตามพัฒนาการทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญยิ่งก็คือ กฎหมายตราสามดวงได้สร้างความยอมรับทางสังคมให้สมาชิกส่วนใหญ่ยอมรับและรักษากฎเกณฑ์ เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อย
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อกำหนดโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้ความมั่นคงกับระบบการปกครองให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในสังคมมาจนตราบปัจจุบัน
"จุดประกาย"
วันเสาร์สุดท้ายปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดในรายการวิทยุ "นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน" เป็นรายการพูดคนเดียวเกือบ ๑ ชั่วโมงเต็ม ตอนหนึ่งนายกฯ ว่า
"ปี ๒๕๔๗ นี้เป็นปีที่ครบรอบ ๒๐๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้มีการชำระสะสางกฎหมายเก่าและจัดทำขึ้นเป็นกฎหมายตราสามดวงใหม่ ที่ใช้บังคับเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบประมวลกฎหมายเต็มรูปแบบ
เพราะฉะนั้นในโอกาสครบรอบ ๒๐๐ ปี รัฐบาลก็จะถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองวาระนี้ด้วยการปรับปรุงระบบกฎหมายไทยทั้งระบบใหม่ให้ทันสมัยและเกิดความยุติธรรมมากที่สุดสำหรับประชาชน เพราะว่ากฎหมายหลายฉบับไม่เป็นธรรม กฎหมายหลายฉบับเป็นอุปสรรคต่อคนที่อยู่ฐานล่างของสังคมที่จะเติบโต เพราะฉะนั้นกฎหมายก็จะกลับไปให้อำนาจประชาชนในการจะแสวงหาศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้อย่างเต็มที่ อันนี้ก็จะต้องไปแก้ไข"
นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันอย่างเข้มแข็งและหนักแน่นต่อไปว่าจะมีการตั้งกรรมการขึ้นมา "ผมจะเป็นประธาน ให้รองฯ วิษณุ (เครืองาม) รัฐมนตรีโภคิน (พลกุล) รัฐมนตรีพงศ์เทพ (เทพกาญจนา) เข้ามาเป็นรองประธาน แล้วก็จะเชิญส่วนราชการต่างๆ ที่สำคัญของภาครัฐ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด และก็จะเชิญฝ่ายศาลมาช่วยกัน ช่วยระดมและรวมทั้งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และจากสภาทนายความ ตลอดจนท่านผู้รู้กฎหมายทั้งหลายมาช่วยกัน เพื่อระดมการแก้ไขกฎหมายทั้งหมดของประเทศ
"สังคายนาให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดกับประชาชน วันนี้ก็จะช่วยกันทำ ก็ถือโอกาสว่าฉลองเฉลิมครบรอบ ๒๐๐ ปี ของกฎหมายตราสามดวง มาทำกฎหมายไทยให้เป็นธรรม" "
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังอธิบายว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่มีการบริหารเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมนี้เป็นอุปสรรคต่อคนอ่อนแอมาก เพราะฉะนั้นกฎหมายจะต้องไม่ไปข้างใดข้างหนึ่ง สังคมนิยมแท้ก็ไม่ใช่เป็นคำตอบ ทุนนิยมแท้ก็ไม่ใช่เป็นคำตอบ แต่เลือกเอาสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทย เหมาะสมกับสภาวการณ์และการพัฒนาของประเทศ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่า
"อันนี้คือที่มาที่จะสังคายนากฎหมายครั้งยิ่งใหญ่" นายกฯ ทักษิณทิ้งท้ายก่อนจบรายการวิทยุ
คุณค่าต่อรัฐและสังคมไทย
ข้อสังเกตที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งหาญจะจัดสังคายนาชำระกฎหมายตราสามดวงประการหนึ่งก็คือ ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น ท่านได้สังคายนาทั้งในส่วนของธรรมจักรหรือศาสนจักรไปพร้อมๆ กับการสังคายนาในฝ่ายอาณาจักร ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ว่า การชำระกฎหมายนั้น ต่อเนื่องมาจากการสังคายนาพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ด้วยเหตุดังนี้รัฐบาลจึงน่าจะรักษาแบบจารีตประเพณีอันดีงามนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะวงการศาสนา โดยเฉพาะในคณะสงฆ์ไทยเราก็มีอะไรที่กะพร่องกะแพร่งออกมาอยู่เสมอ อันเสมือนเกิดความอ่อนล้าในศาสนจักร ที่จะมาช่วยอุดหนุนเกื้อกูลหนุนเนื่องให้อาณาจักรเดินไปในทางที่ยุติธรรมต่อสังคมและประเทศชาติมากกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งนี้เพราะกฎหมายไม่ได้เป็นสากลหรือความถูกต้องตลอดกาล จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันบ้าง แม้ว่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดในการศึกษาลักษณะรัฐดั้งเดิมของไทยที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน ด้วยการรวบรวมกฎหมายโบราณและพระราชกำหนดเก่า-ใหม่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วก็ตาม อย่างที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มองว่า
"กฎหมายตราสามดวงและกฎหมายต่างๆ เหล่านั้น บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสถาบันการปกครองต่างๆ บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ตลอดจนสะท้อนปัญหาบางประการซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การปกครองแบบดั้งเดิม
ประการสำคัญต้องตระหนักด้วยว่าการใช้กฎหมายตราสามดวงเพียงชุดเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะขาดความต่อเนื่อง เพราะหลายช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏว่ากฎหมายนี้ถูกนำไปใช้ ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่ากฎระเบียบต่างๆ ที่ตราไว้ได้รับการปฏิบัติมากน้อยเพียงใด"
แต่ก็อย่าลืมว่ากฎหมายตราสามดวงนี้ได้สะท้อนความคิด ความเชื่อ ที่ปรากฏในสังคมไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวาล ศาสนา ไสยศาสตร์ ผีสางนางไม้ ตลอดจนประเพณีพิธีกรรมของผู้คนในสังคม ที่มีการเคลื่อนไหวไปตามพัฒนาการทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญยิ่งก็คือ กฎหมายตราสามดวงได้สร้างความยอมรับทางสังคมให้สมาชิกส่วนใหญ่ยอมรับและรักษากฎเกณฑ์ เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อย
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อกำหนดโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้ความมั่นคงกับระบบการปกครองให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในสังคมมาจนตราบปัจจุบัน
jupiter- ผู้มาเยือน
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|